พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตอนที่ 4

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า ตอนที่ 4

             จากการฝึกนั่งวิปัสนา(การนั่งสมาธิแบบชาว พุทธ)ของข้าพเจ้านี้เอง เป็นวิธีการหนึ่งที่ได้ช่วยให้ตัวข้าพเจ้าสามารถยอมรับความเป็นจริงว่า “ข้าพเจ้า ได้ทำสิ่งนี้” “ข้าพเจ้าได้ทำสิ่งนั้น” “ข้าพเจ้าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอื่นเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมาน” “คนอื่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน” “ขอให้มันดำเนินต่อไป” “มันได้เกิดขึ้น มันได้จบสิ้นลง ขอให้มันดำเนินต่อไป” “ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวข้าพเจ้าเองล้มเหลวในทุกสิ่งทุกอย่าง มันได้เกิดขึ้น มันได้จบสิ้นลง ขอให้มันไปดำเนินต่อไป” ในองค์พระเยซูคริสตเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง และในองค์พระเยซูคริสตเจ้าผู้ซึ่งว่างเปล่าไม่มีอะไร ตัวข้าพเจ้าเองก็ว่างเปล่าและไม่มีอะไรจากความปราถนาต่างๆ จากความหวาดกลัวต่างๆ พระเยซูคริสตเจ้าทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อย่า มองดูตัวเองเพียงแค่บาปต่างๆของท่านเท่านั้น แต่ให้มองดูที่เราและชื่นชมยินดีเพียงแค่ความรักของเราที่มีต่อท่าน จงมีความสุขที่ท่านได้มาอยู่กับเราและร่วมโต๊ะงานเลี้ยงกับพระบิดาของเรา” จากความว่างเปล่าไม่มีอะไรของพระเยซูเจ้านี้เองทำให้พระองค์สามารถที่จะทำ ตามน้ำพระทัยของพระบิดาได้ พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้นำความสมบูรณ์ครบครันตามแบบการรู้แจ้งเห็นจริงของพระ พุทธเจ้า พุทธศาสนาบอกว่า มนุษย์มีตัวตนของตัวเอง ซึ่งไม่ได้มาจากตัวของมนุษย์เอง ราคะตัณหาต่างๆที่เกิดจากความมีอิสระเสรีส่วนตัวของข้าพเจ้า (การถูกประจญล่อลวงของอาดัมและเอวา) นับว่าเป็นสิ่งที่โง่เขลาและได้นำความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดมาสู่ ข้าพเจ้า อีกทั้งราคาะตัณหาต่างๆเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ของข้าพเจ้าและเพื่อทุกสิ่ง ทุกอย่างนั้นสามารถนำความสุขความชื่นชมยินดีมาสู่ข้าพเจ้าเพียงแค่ในบัดนี้ และเดี๋ยวนี้เท่านั้น (ดูตัวอย่างการถูกประจญ 4 ประการของพระเยซูเจ้า) แต่น่าเสียดายที่มันเป็นสิ่งที่โง่เขลาสำหรับข้าพเจ้า ราคาะตัณหาต่างๆจากการมีอิสระเสรีเพื่อการดำรงชีวิตอยู่และเพื่อทุกสิ่ง ทุกอย่างนั้นสามารถนำความสุขความพอใจในทันทีทันใดจริง แต่ก็ก่อให้เกิดความน่าเกลียดน่าชังและเกิดความรุนแรง ดังที่จะพบได้ในหนังสือปฐมกาลบทที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องราวของคาอินและอาแบล (พี่ชายฆ่าน้องชาย) ในองค์พระเยซูเจ้าความโง่เขลาต่างๆเหล่านี้ได้ถูกกำจัดและถูกทำลายให้หมด สิ้นไป ความจริงทั้งหมดได้รับการรับรองยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีความทุกข์ทรมาน แต่จะมีความสุขตลอดนิรันดร พระเยซูเจ้าได้ทรงตรัสความจริงเกี่ยวกับตัวพระองค์เองว่า “ข้าพเจ้าคือผู้ที่มาจากพระบิดา” “ท่านเป็นบุตรสุดที่รักของเรา ผู้ซึ่งเราพอใจท่านมาก” พระเยซูเจ้าทรงมอบความไว้วางใจและทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระบิดา “ข้าพเจ้ามาเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา” “ข้าพเจ้ากระทำสิ่งต่างๆตามที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระบิดาของข้าพเจ้ากระทำ” พระเยซูเจ้าไม่มีความเพ้อฝันหรือความโง่เขลาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ตัวตนของ พระองค์เอง พระองค์ไม่ได้ประกาศตัวพระองค์เอง แต่พระองค์ประกาศพระเกียรติมงคลและความยิ่งใหญ่ของพระบิดา เพราะเหตุนี้เอง พระบิดาเจ้าจึงทรงรักพระองค์และแสดงทุกสิ่งทุกอย่างให้พระองค์ได้เห็น และประทานฤทธิ์อำนาจทั้งบนสวรรค์และในแผ่นดินให้กับพระองค์

จากการฝึกนั่งสมาธิแบบวิปัสนาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าสามารถละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึก ประสาทสัมผัส ความทรงจำ การตัดสินพิพากษา ความเข้าใจ ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความชื่นชมยินดี เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งอนิจจัง ไม่คงทนถาวร และมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะคงทนถาวรก็ต่อเมื่อความคิดความรู้สึก เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าเข้ามาอยู่ในความคิดจิตใจของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าคิดว่ามีเพียงวิธีการนี้วิธีการเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ข้าพเจ้า สามารถละทิ้งสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ แต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทำได้ แต่หลังจากวันเวลาผ่านไปหลายปีหลายเดือน ข้าพเจ้าก็ได้เข้าใจว่าวิธีการนั่งสมาธิแบบวิปัสนาของชาวพุทธเป็นวิธีการที่ ดีที่สุดวิธีการหนึ่งเลยทีเดียว ข้าพเจ้าไม่ได้ละทิ้งพระเป็นเจ้า แต่ข้าพเจ้ามีความคิดเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าและภาพลักษณ์ของพระเป็นเจ้าที่มี ต่อข้าพเจ้าเท่านั้น พระเป็นเจ้าไม่ได้อยู่ในความคิดความรู้สึกของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน สมองของข้าพเจ้าไม่เคยบรรจุพระเป็นเจ้าไว้เลย หลังจากนั้นต่อมา โดยอาศัยการพิจารณารำพึงไตร่ตรองดูที่องค์พระเยซูคริสตเจ้าและอาศัยพระวาจา และการกระทำของพระองค์ซึ่งได้เผยแสดงให้ข้าพเจ้าได้ทราบและรับรู้ว่า ในองค์พระเยซูคริสตเจ้าความเข้าใจของเรามีลักษณะเป็นแบบ “ไม่มีตัวตนจากตัวตน” ซึ่งจะนำไปสู่ความสมบูรณ์ครบครันในฐานะที่พระองค์จะทรงนำพวกเราทุกคนกลับไป หาพระบิดา ดังที่พบได้ในพระวรสารของยอห์นบทที่ 17 ข้อ 26 ว่า “ข้าพเจ้า บอกให้เขารู้จักพระนามของพระองค์และจะบอกให้รู้ต่อไปเพื่อความรักที่พระองค์ ทรงรักข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขาและข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขาด้วยเช่นกัน” ในระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังพิจารณาไตร่ตรองสิ่งต่างๆเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้เข้าไปถึงพระวาจาของพระเป็นเจ้าที่มีต่อคาอินว่า “น้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน?” ความคิดความรู้สึกของข้าพเจ้าได้เข้าไปถึงบรรดาผู้คนที่ข้าพเจ้าเคยทำร้าย เขา ทำให้เขาเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ไม่ว่าจะเป็นด้วยการพูด การกระทำ การขาดการดูแลเอาใจใส่พวกเขา การไม่สนใจใยดีพวกเขา เอารัดเอาเปรียบและใช้พวกเขาไปในทางที่ผิด พวกเขาเหล่านั้นยังคงมีความทุกข์ทรมานและเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่ข้าพเจ้าได้ กระทำกับพวกเขา พระเยซูเจ้าเองก็ทรงมีความทุกร์ทรมานและเจ็บปวดเหมือนกับพวกเขาเหล่านั้น ด้วยเช่นกันจากการที่ข้าพเจ้าได้กระทำกับพวกเขาเหล่านั้น และก็เป็นพระเยซูเจ้าคนเดิมนี่แหละที่นำความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดมาสู่ ข้าพเจ้าด้วย พระเยซูเจ้าคนเดิมนี่แหละที่ต้องการที่จะรักษาเยียวยาข้าพเจ้าและพวกเขา เหล่านั้นด้วย พระเยซูเจ้าเองนี่แหละที่ทรงยอมรับเอาความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดของพวก เราไปสู่ตัวของพระองค์เอง โดยอาศัยการกลับคืนพระชนมชีพจากความตายของพระองค์ พระองค์ได้ทรงนำพวกเราทุกคนเข้าไปสู่พระอาณาจักรของพระบิดาสุดรักของพระองค์ ข้าพเจ้าเกิดมีสามัญสำนึกและเกิดความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง แต่ข้าพเจ้าก็ได้รับการบรรเทาใจและกำลังใจจากการที่ข้าพเจ้าได้อ่านพระวาจา ของพระเจ้าที่ว่า “จากการกระทำนี้ เราจะรู้ว่าเราอยู่กับความจริง เราจะมั่นใจเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ แม้ใจของเราอาจจะยังกล่าวโทษเราอยู่ก็ตาม เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่กล่าวโทษเรา เราย่อมมั่นใจได้เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” (1 ยน.3:9-21) และอีกครั้ง “ความ รักสมบูรณ์อยู่ในเราเพื่อให้เรามีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะพระองค์ทรงเป็นอย่างไร เราในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้นด้วย ไม่มีความกลัวในความรัก ความรักที่สมบูรณ์ย่อมขจัดความกลัว เพราะความกลัว คือความคาดหมายว่าจะถูกลงโทษ ความรักของผู้มีความกลัวจึงยังไม่สมบูรณ์” (1 ยน.4:17-18) “ธรรมบัญญัติเข้ามาเพื่อการล่วงละเมิดจะได้ทวีขึ้น ที่ใดบาปทวีขึ้น ที่นั่นพระหรรษทานก็ยิ่งทวีขึ้นมากกว่า” (รม.5:20) นับว่าเป็นกระบวนการที่ยากลำบากสำหรับข้าพเจ้าเลยทีเดียว เพื่อที่จะข้ามผ่านจากการถูกพิพากษาตัดสินลงโทษตามกฎหมาย ในการที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกแห่งความรักของพระเป็นเจ้าที่มีต่อข้าพเจ้า มีสักกี่ครั้งที่ข้าพเจ้าได้รำพึงไตร่ตรองถึงถ้อยคำในพระวรสารของนักบุญ ยอห์นที่ว่า “เพราะพระเจ้าได้ประทานธรรมบัญญัติผ่านทางโมเสส แต่พระหรรษทานและความจริงมาทางพระเยซูคริสตเจ้า” (ยน.1:17)