พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตอนที่ 3

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า ตอนที่ 3

    ในระหว่างที่ข้าพเจ้าพักผ่อนอยู่กรุงโรม ประเทศอิตาลี่ ที่ศูนย์ฝึกอบรมชีวิตจิตหรือ

ชีวิตภายในสำหรับบรรดามิชชันนารี่ ซึ่งใกล้กับมหาวิหารนักบุญเปโตร ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งภายในจิตใจของข้าพเจ้า มันไม่ใช่เป็นความเจ็บปวดฝ่ายร่างกาย แม้ว่าร่างกายของข้าพเจ้าจะอ่อนแอและเจ็บปวดก็ตาม ข้าพเจ้ารู้ว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้มันมาจากพระเป็นเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่รู้และไม่ทราบว่ามันคืออะไรกันแน่และมันหมายความว่าอะไรกัน แน่ ข้าพเจ้ารู้แต่เพียงสิ่งเดียวคือว่าไม่มีใครสามารถทุเลา บรรเทาหรือเอาความเจ็บปวดต่างๆเหล่านี้ออกไปจากตัวของข้าพเจ้าได้ นอกจากบุคคลที่ประทานหรือมอบความเจ็บปวดต่างๆเหล่านี้ให้กับตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าพยายามใช้เวลาส่วนมากกับการรำพึงและสวดภาวนา หลังจากหลายปีผ่านไป ข้าพเจ้าจึงเข้าใจและคิดได้ว่าพระเป็นเจ้านั่นเองคือยาสมานแผลที่ดีที่สุด ที่จะสามารถทุเลา บรรเทาและรักษาความเจ็บปวดต่างๆสำหรับข้าพเจ้าได้ หรือเป็นพระเป็นเจ้าเองที่เป็นเสมือนดาบที่ฟันข้าพเจ้าและรักษาข้าพเจ้าด้วย ในเวลาเดียวกัน

ในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1987 เมื่อข้าพเจ้าได้รับการอนุญาตจากคุณพ่อมหาธิการเจ้าคณะปีเมของข้าพเจ้าให้ กลับไปทำงานแพร่ธรรมต่อที่ประเทศไทย ข้าพเจ้าได้รับการร้องขอให้ประจำอยู่ที่โบสถ์ใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่มีหน้าที่รับผิดชอบใดๆโดยเฉพาะ นอกจากการพักผ่อนและรักษาสุขภาพร่างกายของข้าพเจ้าเท่านั้น และคุณพ่อมหาธิการเจ้าคณะบอกให้ข้าพเจ้าพยายามแสวงหาคุณพ่อวิญญาณรักษ์และ นักจิตวิทยาที่ดีสำหรับช่วยเหลือและเยียวยาตัวข้าพเจ้าเอง จากการที่ได้ประสบกับปัญหาต่างๆมากมาย รวมทั้งเรื่องโรคหัวใจของข้าพเจ้าด้วย และข้าพเจ้าก็ได้เริ่มแสวงหาในทันทีทันใดที่มาถึงประเทศไทย ข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่บ้านเข้าเงียบที่เชียงใหม่ เป็นระยะเวลา 1 เดือน และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็จะต้องไปที่บ้านเข้าเงียบที่เชียงใหม่เป็นประจำทุก เดือนภายในระยะ 6 เดือน อาศัยคุณพ่อวิญญาณรักษ์และนักจิตวิทยาที่นี่เองได้ช่วยข้าพเจ้าให้สามารถ วิเคราะห์ชีวิตในอดีตของข้าพเจ้าที่ผ่านมา โดยอาศัยการสวดภาวนาและการรำพึงไตร่ตรอง บางครั้งข้าพเจ้าสวดภาวนา 3 วัน 3 คืนเต็มๆ โดยปราศจากสิ่งรบกวนหรือความรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ประการใดเลย ข้าพเจ้าได้อ่านพระวาจาของพระเป็นเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าพบว่าพระวาจาของพระองค์ช่างหอมหวาน บริสุทธิ์ผุดผ่อง บำรุง และเพิ่มกำลังวังชาให้กับข้าพเจ้าเสียยิ่งกว่าอะไร พระวาจาของพระเป็นเจ้าทรงส่องสว่างทุกๆเหตุการณ์ในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพบว่า แม้ว่าข้าพเจ้าเคยตกลงไปในความเศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุดก็ตาม แต่พระเป็นเจ้าก็ยังทรงต้องการให้ข้าพเจ้ามีความสุข พระองค์ไม่ทรงต้องการให้ข้าพเจ้ามีความทุกข์ทรมาน เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้ามาตามภาพลักษณ์ของพระองค์ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถูกสร้างมาเพื่อที่จะมีความสุข และเป็นความสุขตลอดนิรันดร แล้วอะไรหละคือหนทางที่จะนำพาข้าพเจ้าไปพบความสุขแบบที่ว่านี้? ซึ่งมันก็คือความจริงและความรัก นั่นคือ ข้าพเจ้าจะต้องยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าเอง ความเป็นจริงเกี่ยวกับพ่อของข้าพเจ้า แม่ของข้าพเจ้า บรรดาญาติพี่น้องของข้าพเจ้า และทุกๆคนที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่ได้ทำร้ายข้าพเจ้าและข้าพเจ้าได้ทำร้ายเขา นอกจากนี้ ข้าพเจ้าจะต้องยอมรับความรักของพระเป็นเจ้าที่มีต่อข้าพเจ้าและต่อทุกๆคนที่ ได้ผ่านเข้าในชีวิตของข้าพเจ้า จากจุดนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้าค้นพบว่า ข้าพเจ้าได้ถูกประจญและถูกล่อลวงโดยปีศาจเหมือนกับที่อาดัมและเอวาเคยถูกล่อ ลวงให้รับประทานผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดนนั่นเอง

ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าใจตัวข้าพเจ้าเองได้ เหมือนกันว่าข้าพเจ้ากล้าที่จะขัดขืนขัดสู้กับพระเป็นเจ้าได้อย่างไร? ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าใจตัวข้าพเจ้าเองได้เหมือนกันว่าข้าพเจ้าทำให้บุคคล หลายคนรู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร? เพราะเหตุผลนี่แหละจำเป็นที่จะต้องมีคนมาช่วยข้าพเจ้า แต่คงไม่มีใครสามารถช่วยข้าพเจ้าได้ ไม่ว่าจะจากภายในส่วนลึกจิตใจของข้าพเจ้าเอง จากมโนธรรมของข้าพเจ้าที่แยกตัวออกและปฎิเสธพระเป็นเจ้า เพราะมีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยข้าพเจ้าได้ นั่นคือ องค์พระเยซูคริสตเจ้า จากการอ่านพระคัมภีร์ในหนังสือปฐมกาลบทที่ 6 ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระเป็นเจ้าคงจะรู้สึกเสียใจกับข้าพเจ้าที่พระองค์ได้ทรง สร้างข้าพเจ้ามา แต่ถึงกระนั้นก็ดี พระองค์ยังทรงเหลียวดูและเอาใจใส่ต่อข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็ยังเสาะแสวงหา พระองค์ด้วยเช่นกัน ลองมองไปดูที่ภาพลักษณ์ของท่านนักบุญฟรันซิสแห่งอัสซีซีที่กำลังสวมกอด กางเขนของพระเยซูเจ้าและพระเยซูเจ้าเองก็ทรงสวมกอดท่านนักบุญฟรันซิสแห่งอัส ซีซีด้วยเช่นกัน นับว่าเป็นประสบการณ์แห่งความเจ็บปวดสำคัญประการหนึ่งเลยทีเดียว แต่ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดูช่างสวยสดงดงามเสียยิ่งกระไร พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ข้าพเจ้ามาเพื่อสิ่งนี้ นั่นคือ การช่วยให้รอด ไม่ได้มาเพื่อทำลาย” การสวมกอดกับองค์พระเยซูคริสตเจ้านี้เองได้กลับกลายเป็นสิ่งที่เพิ่มกำลังวังชาและดูสวยสดงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้เสียจริงหนอ

ประการแรกหมด ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าจำเป็นที่จะต้องแสวงหาและพบกับพระเยซูเจ้าให้ได้ ในฐานะพระผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้าให้รอด ข้าพเจ้าได้เข้าใจถึงความหมายของพระมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เจ้า และที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้เข้าใจถึงความทุกข์ทรมานต่างๆของข้าพเจ้าที่ได้ข้าพเจ้าได้ ประสบพบเจอในชีวิตอดีตที่ผ่านมา โดยอาศัยพระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้านั่นเอง ในการสวมกอดกับองค์พระเยซูคริสตเจ้าครั้งนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกทุกข์ทรมานเพราะบาปต่างๆของข้าพเจ้า อีกทั้งข้าพเจ้ายังทำให้องค์พระเยซูคริสตเจ้าทรงได้รับทุกข์ทรมานเพราะบาป ต่างๆของข้าพเจ้าเองด้วย และข้าพเจ้ายังรู้สึกทุกข์ทรมานเพราะบาปของคนอื่นๆพร้อมกับองค์พระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งได้รับทุกข์ทรมานเพราะบาปของคนอื่นๆด้วยเช่นกัน และแล้ว บาปของข้าพเจ้าก็ได้รับการอภัยโดยองค์พระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระเป็นเจ้า และบาปของคนอื่นๆก็ได้รับการอภัยโดยองค์พระเยซูคริสตเจ้าผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ทั้งบนสวรรค์และในแผ่นดินด้วยเช่นกัน ผ่านทางองค์พระเยซูคริสตเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกสร้างขึ้นมา ผ่านทางพระองค์นี้เองทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการไถ่กู้ให้รอดพ้น ข้าพเจ้าได้ทำให้พระองค์เจ็บปวดและทุกข์ทรมาน รวมทั้งบุคคลอื่นๆที่ได้ถูกข้าพเจ้าทำให้เจ็บปวดและทุกข์ทรมานด้วย และองค์พระเยซูคริสตเจ้าเองก็ได้ถูกทำร้ายทำให้เจ็บปวดและทุกข์ทรมานโดย บุคคลที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บปวดและทุกข์ทรมานด้วยเช่นกัน บาดแผลต่างๆของข้าพเจ้าได้รับการรักษาเยียวยา รวมทั้งบาดแผลของบุคคลอื่นๆด้วยก็ได้รับการรักษาเยียวยา โดยผ่านทางรอยแผลหรือบาดแผลขององค์พระเยซูคริสตเจ้าเอง และโดยอาศัยบาดแผลหรือรอยแผลขององค์พระเยซูคริสตเจ้านี้เอง ข้าพเจ้าได้รับการปลดปล่อยจากความหวาดกลัวต่างๆนานา จากความผิดต่างๆ และจากการที่จะต้องถูกตัดสินลงโทษ รวมทั้งบุคคลต่างๆที่ข้าพเจ้าได้เคยทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานก็ ได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมาน จากความเจ็บปวด จากความผิดและจากการที่จะต้องถูกตัดสินลงโทษด้วยเช่นกัน นับว่าเป็นกระบวนการของความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่ยาวนานพอสมควร เหมือนกับการเดินอยู่ในกองไฟหรือเตาไฟหรือการเดินบนน้ำในมหาสมุทรในขณะที่ กำลังมีคลื่นลมพายุอย่างแรงกล้า แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงอยู่นั่นสำหรับข้าพเจ้าเสมอ