พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตอนที่ 1
“เรารักท่าน พร้อมกับบาปของท่าน”
ในปี ค.ศ. 1997 เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ 31 ปี และบวชเป็นพระสงฆ์มาได้ประมาณ 5 ปี คุณพ่อวิญญาณรักษ์ของข้าพเจ้าที่มหาวิทยาลัยแมรี่เกลด ในบ้านเณรของคณะปีเม (คณะธรรมฑูตแห่งกรุงมิลาน ประเทศอิตาลี่) ที่เมืองดิทรอยท์ รัฐมิซิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา
คุณพ่ออธิการบ้านเณรของคณะปีเมที่นี่ได้ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ให้คำแนะนำหรือ เป็นคุณพ่อวิญญาณรักษ์ให้กับบรรดาสามเณรที่เรียนจบระดับมหาวิทยาลัยของบ้าน เณรแล้ว และจะเข้าสู่ปีแห่งการฝึกฝนชีวิตจิตหรือชีวิตภายใน เพื่อเตรียมตัวที่จะถวายตัวครั้งแรกในคณะปีเมต่อไป
เพื่อที่จะเตรียมตัวข้าพเจ้าเองสำหรับงานชิ้นสำคัญนี้ ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตจากคุณพ่ออธิการเจ้าคณะของคณะปีเมในสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะไปเข้าเงียบ 30 วันตามรูปแบบของนักบุญอิกญาซีโอ ผู้ก่อตั้งคณะเยซูอิต ที่ลาโคลอมบีแอเร ซึ่งเป็นบ้านสำหรับการเข้าเงียบของคณะเยซูอิต
หลังจาก 10 วันแรกของการเข้าเงียบที่นั่น คุณพ่อผู้นำเทศน์การเข้าเงียบให้กับข้าพเจ้าได้บอกข้าพเจ้าว่า “อาด รีอาโน, เธอยังไม่ได้เริ่มต้นการเข้าเงียบเลยนะ เพราะดูเหมือนว่าเธอกำลังวุ่นวายกับการเขียนและจัดเตรียมเอกสารต่างๆ รวมทั้งคำแนะนำอื่นๆสำหรับบรรดาสามเณรที่เธอกำลังจะไปให้คำแนะนำหรือเป็นคุณ พ่อวิญญาณรักษ์ให้กับเขา เธอไม่ได้ให้ความสำคัญหรือตั้งใจในการที่จะสร้างความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซู เจ้า พ่อขอแนะนำว่าในขณะที่เธอกำลังรำพึงภาวนาถึงพระวาจาของพระเจ้าในแต่ละตอน นั้น พ่อขอให้เธอพยายามอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับผู้คนหรือประชาชน และพยายามเข้าให้ถึงความรู้สึกของพวกเขาว่าพวกเขากำลังรู้สึกอะไรและเป็น อย่างไร”
วันต่อมา ข้าพเจ้าพยายามที่จะแสวงหาและมองดูว่า ความสนิทสัมพันธ์แบบไหนและอย่างไรที่ข้าพเจ้ามีกับพระเยซูเจ้า สุดท้ายข้าพเจ้าก็พบว่า ข้าพเจ้าและพระเยซูเจ้ายังไม่มีความสนิทสัมพันธ์กันเลย ขณะนั้นข้าพเจ้ามีความคิดว่า ถ้าข้าพเจ้ากำลังอยู่ในห้องกระจก ข้าพเจ้าก็คงจะสามารถเห็นองค์พระเยซูเจ้าในขณะที่พระองค์กำลังรักษาคนเจ็บคน ป่วย กำลังอภัยให้กับบรรดาคนบาป กำลังต้อนรับบุคคลที่อยู่ชายขอบสังคม กำลังเทศน์สอนประชาชน กำลังให้ความรักความเอาใจใส่ และความเมตตาสงสารกับหญิงโสเภณี, กับซักเคียส, กับนักบุญเปโตรและกับโจรผู้สำนึกผิด แต่สุดท้ายข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้รู้สึกสนิทสัมพันธ์อะไรกับพระเยซูเจ้าเลย เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ได้เกิดขึ้นและได้ผ่านไปหลายวันในระหว่างที่ข้าพเจ้า กำลังเข้าเงียบจนกระทั่งข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญและหงุดหงิดเป็นอย่างมาก จากการที่ข้าพเจ้าขาดความรู้สึกและความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้าตลอดระยะ เวลาการเข้าเงียบในหลายวันที่ผ่านมา สุดท้ายข้าพเจ้าก็ได้ข้อสรุปว่า ข้าพเจ้าไม่เคยมีความรู้หรือรู้จักพระเยซูเจ้าเลย ข้าพเจ้ากำลังจะเป็นเหมือนคนบ้าและได้ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังภายในห้อง ที่ล้อมรอบไปด้วยป่าในบ้านเข้าเงียบหลังนั้น โอ๊ย…โอ๊ย… ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระเยซูเจ้าหรือเนี่ย? ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักพระองค์เลยเหรอ? ข้าพเจ้าไม่ได้เชื่อในพระองค์หรือ? เป็นไปได้ยังไงเนี่ย? แม้ว้าข้าพเจ้าจะเกิดมาจากครอบครัวพื้นฐานที่เป็นคริสตชน เข้าบ้านเณรตั้งแต่อายุ 11 ปี ประพฤติปฎิบัติตัวดีมาตลอด อีกทั้งยังมีคนที่รักข้าพเจ้าอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่ออธิการหรือคนอื่นๆอีกมากมาย ได้เทศน์สอนเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ได้คิดถึงเกี่ยวกับพระองค์ ได้ถวายพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณทุกวันในฐานะพระสงฆ์คนหนึ่งก็ตาม ที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้สวดภาวนาออกมาว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นนายชุมพาบาลของข้าพเจ้า ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ข้าพเจ้าปรารถนาหรือต้องการ นอกจากพระองค์เท่านั้น” แต่ลึกๆในจิตใจของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าพบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เชื่อในสิ่งที่ริมฝีปากของข้าพเจ้าได้พูดออกไปเลย ที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้บอกความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ที่เกิดให้กับคุณพ่อผู้นำเทศน์การ เข้าเงียบให้กับข้าพเจ้าได้รับทราบและรับรู้ และคุณพ่อผู้นำเทศน์การเข้าเงียบให้กับข้าพเจ้าได้บอกกับข้าพเจ้าว่า “อาด รีอาโนเอ๋ย ดูตัวอย่างซิ แม้แต่นักบุญเปาโล ท่านก็ยังไม่ได้เชื่อในองค์พระเยซูเจ้า แต่สุดท้ายท่านก็ได้กลับมาเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า” จากคำพูดประโยคนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกหมดหวัง สิ้นหวังมากยิ่งขึ้น “ข้าพเจ้า เป็นฟาริสีหรือเนี่ย? ข้าพเจ้าเป็นผู้ปฎิรูปพระศาสนจักรคนหนึ่งหรือ? ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มนักเรียนที่ก่อการปฎิวัติในปี ค.ศ. 1968 หรือ? อ้า….อ้า…”
ในเวลาเดียวกัน ความบาปผิดทั้งหมดของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าเคยกระทำในอดีตที่ผ่านมาได้เกิด เข้ามาในความคิดของข้าพเจ้าและรบกวนสภาพจิตใจของข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก ซึ่งดูเหมือนว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรและรบกวนสภาพจิตใจของข้าพเจ้ามากขนาดนี้ หรอก ถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่เคยไปสารภาพบาปต่างๆเหล่านั้น หรือข้าพเจ้าไม่เคยได้รับการให้อภัยบาปเลยในเวลาที่ข้าพเจ้าเข้าไปสารภาพบาป อ้า…อ้า…
นับเป็นวันที่ 22 ของการเข้าเงียบของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าได้พิจารณาไตร่ตรองถึงความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ภายในความคิดของข้าพเจ้าตลอดระยะเวลา 22 วัน ของการเข้าเงียบที่ผ่านมา และแล้วในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังอยู่ในป่า ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้ามืดคลื้มถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ เกิดมีเสียงฟ้าแลบ ฟ้าผ่า พร้อมทั้งลมพายุอันแรงกล้า เม็ดฝนเริ่มตกลงมา ข้าพเจ้าได้วิ่งกลับไปยังบ้านพักเข้าเงียบของข้าพเจ้า และได้เข้าไปยังวัดน้อยเล็กๆที่อยู่ในบ้านพักเข้าเงียบนั้น จากนั้นข้าพเจ้าก็นั่งลงบนพื้นและนอนหลับไป เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาก็พบกับแสงสว่างที่สดใสจ้าและได้ยินเสียงร้องดังออก มาว่า “เรารักท่าน” ข้าพเจ้าก็รู้สึกงงและสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าพเจ้ากันแน่ และข้าพเจ้าก็ได้พูดออกไปว่า “แล้วความผิดบาปทั้งหมดของข้าพเจ้าหละ?” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังตอบกลับออกมาทันทีว่า “เรารักท่าน พร้อมกับบาปของท่าน” ข้าพเจ้าเองก็ยิ่งรู้สึกสับสน งง และประหลาดใจ และในเวลาเดียวกันข้าพเจ้าก็เกิดมีความสุขด้วย แต่ทว่าข้าพเจ้าเองก็ยังไม่เข้าใจความหมายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ข้าพเจ้าในคราวนั้น ในคืนเดียวกันนั้นเอง ข้าพเจ้าได้ฝันว่า ข้าพเจ้าได้อยู่ในบ้านหลังเก่าแก่หลังหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างไป บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยสิ่งของเก่าแก่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ข้าพเจ้าจึงเริ่มต้นที่จะทำความสะอาดบ้านหลังนี้ด้วยการโยนสิ่งของเก่าๆที่ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เหล่านั้นออกไปทางหน้าต่างลงสู่แม่น้ำใหญ่